สรุปประเด็นจากห้อง Clubhouse
ทำไมเงินถึงไหลเข้ากองทุน ESG ถึง 1,000,000,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ ?
Clubhouse BBLAM x ลงทุนแมน
ถ้าพูดถึง Theme การลงทุนพลังงานสะอาด หลายคนก็มักจะติดภาพความน่าเบื่อ และไม่ตื่นเต้น
แต่หลังจากที่ ลงทุนแมน ได้พูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญมากประสบการณ์คือ คุณมทินา วัชรวราทร CFA®, Head of Investment Strategy กองทุนบัวหลวง ในวันพุธที่ 22 กันยายน ที่ผ่านมา
ก็พบว่า Theme พลังงานสะอาด ไม่ได้น่าเบื่ออย่างที่หลายคนคิด นอกจากนั้นยังเป็น Theme ที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงรอบใหญ่ของโลก และยังเกี่ยวโยงกับหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่กำลังเติบโตในอนาคต อีกด้วย
ความน่าสนใจของเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร
ลงทุนแมนจะมาสรุปให้ฟังง่าย ๆ 9 ข้อ..
1. ทำไมกระแส ESG จึงกลายเป็นที่พูดถึงในตอนนี้ ?
พลังงานสะอาดคือ เทรนด์การลงทุนที่สำคัญมากในอนาคต และไม่ใช่แค่เทรนด์ระยะสั้น
สังเกตได้จากเม็ดเงินที่ไหลเข้ากองทุน ESG ทั่วโลกแตะ 1,000,000,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ อ่านว่า “1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ” เป็นครั้งแรก
ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในยุโรป และการลงทุนใน ESG ยังให้ผลตอบแทนที่ดีด้วย จึงเป็นหลักของการลงทุนที่เรียกว่า Green and Great Return
ถ้าเราลองมาดูผลตอบแทนของ กองทุน Pictet Global Environmental กองทุนรวมที่ลงทุนในธุรกิจที่ดูแลสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นกองทุนหนึ่งที่ B-SIP เข้าไปลงทุน ก็ให้ผลตอบแทนดีในหลายไตรมาส
และหากลงทุนตั้งแต่ก่อตั้งกองทุนในปี 2014 ก็จะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีเท่ากับ 14.92% ถือว่าทำได้ดีกว่า เมื่อเทียบกับการลงทุนในดัชนีโลกที่มีทั้ง ESG และไม่มี ESG ที่ให้ผลตอบแทนเพียง 10%
สาเหตุหนึ่งที่ทำให้การลงทุนกองทุนที่ลงทุนในธุรกิจที่ดูแลสิ่งแวดล้อมให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า
ก็เป็นเพราะว่าบริษัทที่ยึดหลัก ESG จะมีคุณภาพทั้งด้านรายได้ กำไร และผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น ดีกว่า บริษัททั่ว ๆ ไป
ทำให้สามารถกำหนดราคาสูงขึ้นได้ ดึงดูดคนที่มีความสามารถเข้ามาร่วมงานได้ง่าย รวมทั้งยังมีโอกาสด้านต้นทุนการกู้ยืมที่ถูกกว่า เสียดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า และธนาคารปล่อยสินเชื่อง่ายกว่าอีกด้วย
2. ทำไม พลังงานสะอาด จะเป็นการเปลี่ยนแปลงรอบใหญ่ของโลก ?
สิ่งที่ทำให้ กองทุนบัวหลวงมองว่า พลังงานสะอาดจะไม่ใช่เทรนด์ระยะสั้น
ก็คือการสังเกตคลื่นนวัตกรรมเปลี่ยนโลกตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ที่ผ่านมาแล้ว 5 คลื่นด้วยกัน นั่นคือ
- คลื่นที่ 1 คือ การปฏิวัติอุตสาหกรรม
- คลื่นที่ 2 คือ การเริ่มใช้พลังงานไอน้ำ
- คลื่นที่ 3 คือ การใช้รถยนต์แทนม้า
- คลื่นที่ 4 คือ การเดินทางโดยเครื่องบิน
- คลื่นที่ 5 คือ โลกออนไลน์ เช่น Microsoft, Facebook, Amazon, Netflix
สิ่งเหล่านี้เองที่ทำให้เกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่กินระยะเวลายาวนานหลายสิบปี และนำมาซึ่งกิจการขนาดใหญ่ที่มีความมั่งคั่งมากขึ้น
แต่ในโลกอีก 25 ปีข้างหน้า สิ่งที่จะกลายเป็นประเด็นสำคัญ และทั่วทั้งโลกกำลังเผชิญเหมือนกันอยู่ก็คือ “ภาวะโลกร้อน”
เพราะฉะนั้น คลื่นที่ 6 ก็คือ “เทคโนโลยีพลังงานสะอาด” ซึ่งจะเป็นหนึ่งเทรนด์ต่อจากนี้ไปอีก 25 ปี พร้อม ๆ กับ Robotics, Drones, AI, IoT สิ่งนี้เองที่จะเป็นแนวทางให้เราได้ว่า โลกในอนาคตจะเป็นไปในทิศทางไหน แล้วเราควรจะลงทุนอะไรต่อไป
3. สัญญาณสำคัญที่ชี้ว่า โลกกำลังอยู่ในช่วงต้น คลื่นที่ 6 พลังงานสะอาด คืออะไร ?
กองทุนบัวหลวงมองว่า Megatrends จะต้องมี 3 องค์ประกอบ คือ
1. ความร่วมมือระดับโลก
2. การเห็นด้วยจากรัฐบาล
3. ความร่วมมือภาคเอกชน
เมื่อครบทั้ง 3 องค์ประกอบนี้ เงินลงทุนก็จะหลั่งไหลมายังเทรนด์นั้น ๆ อย่างแน่นอน ซึ่งเทรนด์ ESG ตอนนี้มีครบทั้ง 3 องค์ประกอบเรียบร้อยแล้ว
เริ่มต้นด้วยความร่วมมือระดับโลกคือ ข้อตกลง Paris Agreement จาก UN
ที่ต้องการให้ประเทศต่าง ๆ ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม เพื่อป้องกันภัยพิบัติต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นจากภาวะโลกร้อน
ต่อมาคือ การขานรับนโยบาย จากรัฐบาลของประเทศมหาอำนาจ
เราได้เห็นประเทศต่าง ๆ ในยุโรปมีนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ เช่น
- European Green Deal เพื่อที่จะลดการปล่อยคาร์บอนให้เหลือศูนย์ ภายในปี 2050
- European Climate Law กฎหมายที่พูดถึงการลดการปล่อยมลพิษลงอย่างน้อย 55% ภายในปี 2030
นอกจากนี้มหาอำนาจอย่าง “สหรัฐอเมริกา” ก็ได้จัดตั้งแผนงบประมาณด้านสิ่งแวดล้อม เช่น
- แผนที่ 1 วงเงิน 2.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับการผลิตรถยนต์ EV และแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน
- แผนที่ 2 วงเงิน 5.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานพลังงานสีเขียว ซึ่งภายในปี 2035 สหรัฐอเมริกาตั้งเป้าจะใช้พลังงานแสงอาทิตย์ 40% ของพลังงานทั้งหมด
ขณะเดียวกัน มหาอำนาจซีกโลกตะวันออกอย่าง “จีน” ที่แม้จะยังคงใช้พลังงานถ่านหินเป็นหลัก แต่ก็มีการคาดการณ์ว่าจะมีสัดส่วนพลังงานทดแทนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปี 2035 เป็นต้นไป
โดยล่าสุดประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ยังกำหนดนโยบายสิ่งแวดล้อม ไว้ในแผนการพัฒนาประเทศฉบับที่ 14 ซึ่งจะลดการปล่อยคาร์บอนต่อสัดส่วนของ GDP ลง 65% และจะเพิ่มสัดส่วนพลังงานทดแทน 25% ภายในปี 2030 อีกด้วย
หรือประเด็นรถยนต์ไฟฟ้า แม้ในปี 2020 ยุโรปขายรถยนต์ EV ไปแล้ว 1.3 ล้านคน ขณะที่จีนขายรถยนต์ EV ไปแล้ว 1.2 ล้านคัน แต่ก็มีการคาดการณ์ว่าจีนจะสามารถแซงหน้าและกินส่วนแบ่ง 20% จากตลาดรถยนต์ทั้งหมดภายในปี 2025 ได้ไม่ยากเลย
4. แล้วภาครัฐและภาคเอกชน เชื่อมั่นใน Megatrends เรื่องพลังงานสะอาด แค่ไหน ?
ผลสำรวจของ UBS หรือธนาคารเพื่อการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดของสวิตเซอร์แลนด์
ที่ได้สอบถามองค์กรต่าง ๆ ว่าอยากลงทุนใน Theme อะไรเป็นอันดับหนึ่ง
ปรากฏว่า 2 ใน 3 ตอบว่า จะลงทุนในพลังงานสะอาด เพราะเป็นปัญหาที่โลกเราต้องแก้ไข และยังให้ผลตอบแทนที่ดีด้วย
ซึ่งหากลงทุนในด้านพลังงานทดแทนเป็นระยะเวลา 5 ปี เมื่อเทียบกับการลงทุนในพลังงานแบบเก่า
จะเห็นว่า ผลตอบแทนแตกต่างกันค่อนข้างมาก จุดนี้เองที่บอกว่ามันคือ Green and Great Return
นอกจากนี้กองทุนใหญ่ ๆ ก็ประกาศเข้ามาลงทุนในเรื่องพลังงานสะอาดเช่นกัน
เช่น Cathie Wood ผู้จัดการกองทุน ETF ARK
ประกาศว่าจะทำกองทุน ETF ใหม่ ที่ใช้ ESG Score ทั้งสามด้าน
คือ ด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล
โดยจะไม่ลงทุนในบริษัทที่ส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม หรือไม่ส่งผลดีต่อสังคม
ขณะเดียวกัน กองทุนมหาวิทยาลัย Harvard ที่มีขนาด 4.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ก็ประกาศหยุดการลงทุนในบริษัทที่ผลิตพลังงานฟอสซิลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
รวมทั้งบริษัทผลิตน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Saudi Aramco ก็ประกาศลงทุนในพลังงานสะอาด
โดยลงทุนในโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดในซาอุดีอาระเบีย
นอกจากนี้ ประเทศซาอุดีอาระเบีย ยังวางเป้าหมายประเทศว่าจะใช้พลังงานสะอาดให้ได้ 50% ภายในปี 2030 และจะไม่ได้ลงทุนแค่พลังงานลมและแสงอาทิตย์ แต่ยังลงทุนในพลังงานไฮโดรเจน อีกด้วย
5. แล้วอะไรคือ ความเสี่ยงของเทรนด์ ESG และพลังงานสะอาด ?
ความเสี่ยงของ ESG พลังงานสะอาดอย่างแรกคือ กองทุนที่เสนอขายเป็น ESG จริงหรือไม่ แล้วมีมาตรฐานขอบเขตการลงทุนด้านพลังงานสะอาดที่ชัดเจนจริง ๆ หรือไม่
ความเสี่ยงที่สองคือ ต้องระวังว่าบริษัทที่เกี่ยวกับพลังงานสีเขียวนี้ มีราคาแพงไปแล้วหรือยัง มีฟองสบู่ที่เรียกว่า Green Bubble จากเม็ดเงินที่เข้าไปลงทุน 1.65 แสนล้านในปี 2019 และอีกกว่า 3.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2020 อยู่หรือไม่
ดังนั้น วิธีการลงทุนที่สำคัญ คือ การเลือกกองทุนที่ใส่ใจเรื่อง Valuation และใช้เรื่องมูลค่ามาเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดสำคัญในการลงทุน
6. แล้วเราควรเลือกลงทุนใน ธุรกิจพลังงานสะอาด อย่างไร ?
เราลองมาดูตัวอย่างธุรกิจที่เกี่ยวกับการผลิตไฟฟ้า การขนส่ง การทำการเกษตร ว่าจะสามารถ Green and Great Return ไปพร้อมกับการให้ผลตอบแทนที่ดีได้จริงหรือไม่
เริ่มต้นที่ Orsted บริษัทพลังงานลมนอกชายฝั่งที่ใหญ่ที่สุดในโลกของเดนมาร์ก เดิมทีเคยเป็นบริษัทพลังงานถ่านหินเก่าแก่มาตั้งแต่ปี 1972 โดย 85% ของการผลิตไฟฟ้ามาจากฟอสซิล
จากนั้นในปี 2008 ก็พลิกธุรกิจครั้งใหญ่มาสู่เส้นทางพลังงานสะอาด โดย 85% ของการผลิตไฟฟ้ามาจากพลังงานสีเขียว และเดินทางสู่การเป็นบริษัทพลังงานลมที่ใหญ่ที่สุดของโลกได้สำเร็จ
ซึ่งรู้หรือไม่ว่า กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ หรือ GULF บริษัทพลังงานของไทย ก็ได้ร่วมลงทุนใน Orsted เช่นกัน เพราะมองเห็นนวัตกรรมของพลังงานลมที่ดีที่สุดในโลกของ Orsted โดย 1/3 ของพลังงานลมของโลก มาจากบริษัทนี้
ที่น่าสนใจก็คือ ราคาของพลังงานลม ถูกกว่า ราคาพลังงานของถ่านหินไปเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ปี 2018 และยังคาดการณ์ว่าภายในปี 2030 พลังงานลมและแสงอาทิตย์จะเป็นแหล่งพลังงานที่ถูกที่สุดในโลก
ในแง่ของ Green and Great Return อย่าง Orsted เริ่มเข้าตลาดปี 2016 ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ราคาปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 96% ต่อปี
ขณะเดียวกันยังมีรายได้เติบโตเฉลี่ย 30% ต่อปี และจะเป็นเช่นนี้ต่อเนื่องไปอย่างน้อยถึงปี 2050 ส่วนหนึ่งเป็นเพราะยังมีโอกาสขยายตลาดไปยังประเทศต่าง ๆ ได้อีกมาก เช่น อินเดีย ญี่ปุ่น
7. ธุรกิจพลังงานสะอาดที่ไม่พูดไม่ได้ในตอนนี้ ก็คือ EV ?
เราทราบดีอยู่แล้วว่า หนทางลดปัญหามลภาวะจากการใช้รถยนต์ก็คือ การหันมาใช้รถยนต์ EV หรือรถไฟฟ้า แต่สงสัยไหมว่า ทำไมเทรนด์นี้จึงกลายเป็นโอกาสลงทุนมหาศาลในอนาคต
จากข้อมูลคาดการณ์ว่า ยอดขายรถยนต์ EV จะเพิ่มขึ้น 18 เท่าในอีกสิบปีข้างหน้า แสดงว่าอาจเพิ่มขึ้นสองเท่าทุก ๆ ปี ซึ่งในอนาคตรถยนต์ทั่วโลกจะกลายเป็นรถยนต์ EV อย่างน้อย 80%
เหตุผลก็เพราะว่า ราคารถยนต์ไฟฟ้าจะถูกลงเรื่อย ๆ สังเกตได้จาก ลิเทียมไอออนแบตเตอรี่ ที่มีราคาถูกลง 88% เมื่อเทียบกับสิบปีก่อน หากราคายังคงลดลงเรื่อย ๆ ก็เชื่อว่า ราคารถยนต์ EV และรถยนต์สันดาป จะมีระดับราคาใกล้เคียงกัน
นอกจากนี้ นโยบายของประเทศแถบยุโรปยังให้ความสำคัญเรื่องนี้อย่างจริงจัง โดยจะยกเลิกการขายรถยนต์สันดาปแล้วจริง ๆ เช่น สวีเดน ประกาศยกเลิกในปี 2025 หรืออังกฤษ ก็ประกาศยกเลิกในปี 2035
พอเป็นแบบนี้ แบรนด์รถยนต์ต่าง ๆ จึงต้องปรับตัวกันถ้วนหน้า ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์เก่าแก่อย่าง Honda, Toyota หรือแบรนด์ใหม่อย่าง Tesla, BYD, XPeng แม้กระทั่งค่ายเก๋าอย่าง Harley-Davidson, Porsche ก็ต้องปรับตัวตามเช่นกัน
ที่น่าสนใจก็คือ การเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมรถยนต์รอบนี้ ทิศทางเงินลงทุนไม่ใช่แค่ส่วนของรถยนต์ EV เพียงอย่างเดียว แต่จะไปถึง Supply Chain ต่าง ๆ ทั้งหมด เช่น
- บริษัทผลิตแบตเตอรี่
- บริษัทชิป Semiconductor
- บริษัท Software ที่ทำ ADAS (รถยนต์ไร้คนขับ Autonomous Driving) และบริษัท Simulation ทำการจำลองการขับรถ
ทีนี้ลองมาดูตัวอย่างธุรกิจรถยนต์ EV ที่กองทุน B-SIP เข้าไปลงทุนกันบ้าง
XPeng อ่านว่า เสี่ยวเผิง เป็นบริษัทรถยนต์ EV เน้นตลาดระดับกลางเเละระดับสูงในจีน ที่เรียกได้ว่าท้าชนกับ Tesla ได้เลย เช่น รถยนต์ EV รุ่น XPeng P7 ที่มีราคาเปิดตัวล้านกว่าบาท ชาร์จหนึ่งครั้งจะวิ่งได้ 700 กิโลเมตร โครงสร้างต่าง ๆ มาจากการออกแบบของวิศวกรที่มาจาก Apple, Tesla
XPeng ยังใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ อย่าง 5G, AI ซึ่งตอนนี้ก็มีเทคโนโลยี Autonomous Driving เรียบร้อยแล้ว และยังใช้แบตเตอรี่ของ CATL ผู้ผลิตแบตเตอรี่จีนที่ใหญ่ที่สุด ที่เพียงใช้เวลา 30 นาที ก็สามารถชาร์จได้ 80% อีกด้วย
ด้วยเหตุนี้ กองทุน B-SIP จึงไม่พลาดที่จะเข้าไปลงทุน IPO ปีที่แล้ว เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งธุรกิจพลังงานสะอาดที่มี Green and Great Return เลยทีเดียว
8. นอกจาก พลังงานลม และรถยนต์ EV ยังมีธุรกิจไหนจะเป็นเทรนด์อนาคตได้อีกบ้าง ?
เริ่มต้นด้วยเรื่องใกล้ตัว อย่างอาหารที่เรียกว่า “Beyond Meat” ซึ่งเป็นธุรกิจผู้ผลิตอาหารคล้ายเนื้อที่ไม่ได้มาจากเนื้อจริง ๆ ซึ่งจะช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อมเรื่องปัญหาดิน ปัญหาน้ำ และปัญหามลพิษ
โดยในปี 2050 คาดว่าจะมีการเพิ่มขึ้นของประชากรโลก 2.8 พันล้านคน และจะตามมาด้วยปริมาณอาหารที่ต้องการเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก
หากเป็นอาหารประเภทเนื้อสัตว์ จำเป็นต้องใช้พื้นที่เลี้ยงสัตว์และปัจจัยต่าง ๆ มากกว่าการปลูกพืชอย่างมาก เช่น การเลี้ยงวัว จะใช้ที่ดินมากกว่า 18 เท่า รวมทั้งใช้น้ำและพลังงานมากกว่า 10 เท่า และยังจะปล่อย ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และก๊าซมีเทน ออกมาจากร่างกายอีกด้วย
จึงไม่แปลกใจเลยว่า สัดส่วน 79% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในการเกษตรมาจาก “การเลี้ยงสัตว์”
ปัจจุบัน Beyond Meat กำลังขยายฐานลูกค้าได้ดี สังเกตได้จากแบรนด์อาหารต่าง ๆ ที่หันมานำเสนอผลิตภัณฑ์จาก Beyond Meat มากขึ้นทั่วสหรัฐอเมริกา
เช่น แมคโดนัลด์, เอแอนด์ดับบลิว, Dunkin'
และยังกระจายไปตามร้านสะดวกซื้อ ที่เราสามารถซื้อกลับไปปรุงอาหารที่บ้านได้เองอีกด้วย
Beyond Meat กลายเป็นบริษัทที่น่าจับตามอง และเข้า IPO ในปี 2019 ที่มีมูลค่าบริษัท 3.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ มาในปีนี้มูลค่าบริษัทเพิ่มขึ้นมาเป็น 9.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นสองเท่ากว่า ๆ ภายในสองปี นอกจากนี้ยังมีรายได้ปี 2020 เติบโต 36% อีกด้วย
นอกจากธุรกิจอาหารแล้ว ก็ยังธุรกิจอื่น ๆ ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เช่น
- Schneider Electric เป็นบริษัทผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้า เช่น ลิฟต์ ที่มีการคำนวณการใช้งานแบบประหยัดพลังงาน ซึ่งในอนาคตหากอาคารไหนเป็นอาคารประหยัดพลังงาน ก็จะสามารถเรียกค่าเช่าสูงขึ้นได้
- Equinix เป็นบริษัทโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของโลก เป็นศูนย์จัดเก็บข้อมูลที่ไม่สามารถหยุดทำงานได้ ต้องใช้ไฟตลอดทั้งวันทั้งคืน ปัจจุบันบริษัทสามารถใช้พลังงานหมุนเวียน 92% ของพลังงานทั้งหมด
- Ansys เป็นบริษัทจำลองผล จำลองสถานการณ์สำหรับรถยนต์, เครื่องบิน และอื่น ๆ เพื่อช่วยลดปริมาณการสูญเสียทรัพยากรในช่วงของการทดสอบ
เช่น Dyson แบรนด์เครื่องเป่าผมของผู้หญิง ทำให้แห้งเร็วขึ้นและดีขึ้น
Ansys เข้ามาช่วยคำนวณทิศทางลม, ลมแรง และค้นหาประสิทธิภาพที่ดีที่สุด โดยใช้ซอฟต์แวร์จำลองผลการทดสอบ ช่วยประหยัดทรัพยากร และประหยัดต้นทุนไปได้อย่างมาก
สรุปแล้ว แค่ Theme พลังงานสะอาดอย่างเดียว ก็ทำให้เราเห็นโอกาสของธุรกิจหลากหลายสาขา
ไม่ว่าจะเป็น การผลิตไฟฟ้าที่จะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนด้วยพลังงานลม
หรือจะเป็นการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากรถยนต์ที่จะเปลี่ยนทั้ง EV Supply Chain
รวมทั้ง การแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนด้วยอุตสาหกรรมอาหาร และการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยเหลือมากขึ้น นั่นเอง
9. แล้วเราจะเข้าถึงโอกาสการลงทุนในบริษัทเหล่านี้ได้อย่างไร ?
กองทุน B-SIP เป็นหนึ่งกองทุนเพื่อตอบโจทย์การลงทุนในพลังงานสะอาดโดยตรง และมีจุดเด่นด้วยสไตล์การลงทุนของกองทุนบัวหลวง ที่จะเฟ้นหาธุรกิจดีมีคุณภาพและเติบโต ซึ่งจะสร้างความแตกต่างจากกองทุนอื่นทั่วไป นั่นคือ
1. เน้นลงทุนธุรกิจรักษาสิ่งแวดล้อม ที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ในอนาคตที่เรียกว่า Green and Great Return นั่นเอง
2. มองว่าเทรนด์รักษาสิ่งแวดล้อมและพลังงานสะอาด จะเป็น Megatrends ของโลกที่เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น จึงเชื่อว่า Theme นี้มีความน่าสนใจและสามารถลงทุนระยะยาวได้
3. เปลี่ยนภาพจำว่า การลงทุนในพลังงานสะอาดและสิ่งแวดล้อมไม่จำเป็นต้องเป็นหุ้นน่าเบื่อหรือหุ้นโครงสร้างพื้นฐานเสมอไป
เพราะการลงทุนของ B-SIP ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นเติบโต มีนวัตกรรม มีเทคโนโลยี และยังคำนึงถึงการประเมิน Valuation ด้วย
ถ้าฉายภาพใหญ่ ๆ ก็คือ กองทุน B-SIP จะลงทุนทั้งในฝั่ง Global Environmental Opportunities และ Clean Energy นั่นเอง
โดยฝั่ง Global Environment จะมีสัดส่วนธุรกิจเทคโนโลยี 40% นอกจากนั้นจะเป็นบริษัทอุตสาหกรรม, กลุ่มวัสดุก่อสร้าง และกลุ่มเคมีภัณฑ์
ซึ่งจะมีรูปแบบลงทุน Active Management เพื่อสร้างความสมดุลระหว่างหุ้นเติบโตและหุ้นคุณค่า
ส่วนในฝั่งของพลังงานสะอาด จะมีสัดส่วนธุรกิจเทคโนโลยี 48% ส่วนหนึ่งเป็นเพราะได้เข้าไปลงทุนในอุตสาหกรรม EV ทั้ง Supply Chain ราว 33% ส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทฝั่งสหรัฐอเมริกา และยุโรป เพราะเป็นผู้นำเรื่องเทคโนโลยีพลังงานสะอาด
เช่น Orsted ธุรกิจพลังงานลมนอกชายฝั่งมากว่า 10 ปี มีเทคโนโลยีน่าสนใจ และยังมีโอกาสขยายตลาดได้อีกมาก
ทั้งหมดนี้ จึงสะท้อนได้ว่า กองทุน B-SIP เป็นอีกหนึ่งช่องทางลงทุนใน Theme พลังงานสะอาดที่จะสร้างการเติบโตในระยะยาวได้แบบ Green and Great Return นั่นเอง..
global megatrends 2030 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳解答
5 Megatrends น่าลงทุน ประเดิมครั้งแรกที่เราจะ “ซื้อขายกองทุนโดยตรง” ได้ทั่วโลก
FinVest x ลงทุนแมน
หลายประเทศเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ผู้คนใช้ชีวิตปกติมากขึ้น
เป็นสัญญาณสะท้อนภาวะเศรษฐกิจ และธุรกิจต่าง ๆ เริ่มฟื้นตัว
ขณะที่โลกการลงทุน ยังเป็นสิ่งที่นักลงทุนต่างเฝ้าจับตา
แน่นอนว่า กลุ่มเทคโนโลยีและนวัตกรรมในต่างประเทศกำลังเติบโตโดดเด่น
เช่น Blockchain, Healthcare Innovation, Smart Mobility, Long Term Global Growth, Clean Energy
ซึ่งธุรกิจเหล่านี้ คงหาได้ยากในประเทศไทย
จังหวะนี้เอง คือโอกาสกระจายการลงทุนที่ดีไปสู่ต่างประเทศ ในช่วงที่เศรษฐกิจในประเทศยังไม่ฟื้นตัวมากนัก
แล้วจะดีอย่างไร.. หากเราสามารถลงทุนกองทุนต่างประเทศโดยตรง
โดยไม่ต้องผ่านกองทุนรวมคนกลางใด ๆ
ความน่าสนใจของเรื่องนี้เป็นอย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ก่อนหน้านี้ หากเราต้องการลงทุนในกองทุนต่างประเทศ
มักจะเป็นการลงทุนผ่านกองทุนรวมตัวกลางที่มีนโยบายการลงทุนในกองทุนต่างประเทศอีกทีหนึ่ง
ซึ่งก็อาจจะไม่ได้เป็นไปตามใจที่นักลงทุนต้องการเสียทีเดียว
และที่หลายคนอาจลืมไป ก็คือการลงทุนผ่าน Feeder Fund จะมีค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการกองทุนที่ต้องเสียค่าธรรมเนียมซ้ำซ้อน อีกด้วย
ด้วยเหตุนี้ ธนาคารกสิกรไทย, ลู อินเตอร์เนชันแนล และ กลุ่มโรโบเวลธ์
จึงได้ร่วมพัฒนาฟีเจอร์ใหม่บนแอปพลิเคชัน “FinVest” ที่ทำให้เป็นแอปพลิเคชันการลงทุนแรกในประเทศไทยที่มีฟีเจอร์ Offshore
เพื่อให้ลูกค้าสามารถลงทุนในกองทุนทั่วโลกได้โดยตรงจากบลจ. ชั้นนำระดับโลก ไม่ต้องผ่านกองทุนรวมคนกลาง
แล้วการลงทุนกองทุนรวมต่างประเทศโดยตรง (Offshore) ผ่านแอปพลิเคชัน FinVest ดีอย่างไร ?
1. ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมซ้ำซ้อน รับกำไรเต็ม ๆ
เนื่องจากจะไม่มีค่าบริหารจัดการกองทุน 1-1.5% เหมือนกับกองทุนรวม Feeder Fund ที่มีนโยบายลงทุนผ่านกองทุนต่างประเทศ
2. เพิ่มโอกาสลงทุนกองทุนทั่วโลก ช่วยกระจายความเสี่ยง
เนื่องจากรองรับการลงทุนจากบลจ. ชั้นนำทั่วโลก
เช่น Baillie Gifford, Schroders, BlackRock, Invesco ฯลฯ
จึงครอบคลุมหลากหลาย Theme การลงทุนและ Megatrends ของโลกที่เราสนใจ
นอกจากนี้ FinVest ยังอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย อีกด้วย
3. ลงทุนง่าย สะดวกทุกขั้นตอน ครบ จบในแอปพลิเคชันเดียว
เช่น
- ลงทุนกองทุนทั่วโลกโดยตรง ด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 30,000 บาท
- ลงทุนกองทุนต่างประเทศได้ด้วยสกุลเงินบาท โดยไม่ต้องแลกเป็นสกุลเงินตราต่างประเทศ
- แอปพลิเคชันใช้งานง่าย เพราะคำนึงถึง User Experience
- เปิดบัญชีได้ทันทีผ่านสมาร์ตโฟน และเลือกผูกบัญชีได้หลายธนาคาร
4. มีทีมผู้เชี่ยวชาญ ช่วยแนะนำการลงทุน ชี้เป้าทุกสัปดาห์
โดยจะมีบริการสรุปข้อมูลที่อ่านเข้าใจง่าย และมีข้อมูลอัปเดตแนะนำการลงทุนอย่างเป็นกลาง
ที่น่าสนใจก็คือ ภายในแอปพลิเคชัน FinVest ยังมีตัวช่วยคัดเลือกกองทุนรวมที่น่าสนใจ
ในรูปแบบ Thematic Investment เข้าถึงการลงทุนที่หลากหลายทั่วโลก
และตอนนี้ FinVest ได้แนะนำ 5 กองทุนเด่นที่สอดคล้องกับ Megatrends ของอุตสาหกรรมระดับโลก 5 ด้าน นั่นคือ
1. ด้าน Global Energy Transition
ด้วยกองทุน Global Energy Transition จาก Schroder ISF
เน้นลงทุนในบริษัทชั้นนำด้านธุรกิจและเทคโนโลยีพลังงานสะอาดระดับโลก
ซึ่งสอดคล้องกับเมกะเทรนด์รูปแบบพลังงานที่จะช่วยแก้ภาวะโลกร้อน
โดยในปี 2050 จะมีเม็ดเงินลงทุน 120 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อแก้ปัญหา Climate Change
และยังมีนโยบายลดมลภาวะที่กำลังถูกผลักดันโดยภาครัฐอย่างจริงจัง โดยเฉพาะประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐอเมริกา
ปี 2563 กองทุน Global Energy Transition เติบโต 91.9%
2. ด้าน Smart Mobility
ด้วยกองทุน Robeco Smart Mobility จาก UOBAM
เน้นลงทุนในบริษัทชั้นนำทางด้านเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าและยานยนต์ไร้คนขับ
ซึ่งจะเป็นเมกะเทรนด์เกี่ยวกับยานยนต์ไฟฟ้าที่จะปฏิวัติการเดินทางในอนาคตตลอดทั้ง Supply Chain
จากเครื่องยนต์สันดาปไปสู่การใช้ไฟฟ้า (Electrification) มากขึ้น
ปี 2563 กองทุน Robeco Smart Mobility เติบโต 61.3%
3. ด้าน Blockchain Innovation
ด้วยกองทุน Blockchain Innovation จาก BNY Mellon
เน้นลงทุนในบริษัทผู้พัฒนาเทคโนโลยีบล็อกเชนในหลากหลายอุตสาหกรรม
เช่น บริการทางการเงิน, การแพทย์, ความปลอดภัยทางอาหาร, การจัดการโลจิสติกส์
ซึ่งในปี 2030 คาดการณ์ไว้ว่า มูลค่าธุรกิจที่ถูกสร้างขึ้นโดยนวัตกรรมบล็อกเชน
จะมีมูลค่าสูงถึง 3.1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
ปี 2563 กองทุน Blockchain Innovation เติบโต 46.2%
4. ด้าน Healthcare Innovation
ด้วยกองทุน Healthcare Innovation จาก Schroder ISF
เน้นลงทุนในบริษัทชั้นนำด้านอุตสาหกรรมเฮลธ์แคร์
ทั้งในด้านการรักษาโดยเทคนิคพิเศษ, เทคโนโลยีทางการแพทย์อย่างหุ่นยนต์ผ่าตัด, การบริการทางการแพทย์อย่าง Telehealth และการนำข้อมูลดิจิทัลเพื่อวิเคราะห์ร่างกาย
รวมทั้งธุรกิจด้านผลิตภัณฑ์ยาและวัคซีนต่าง ๆ เช่น Johnson & Johnson, AstraZeneca, Pfizer
ปี 2563 กองทุน Healthcare Innovation เติบโต 42.5%
5. ด้าน Long Term Global Growth
ด้วยกองทุน Long Term Global Growth จาก Baillie Gifford
เน้นการแสวงหาบริษัทที่เติบโตอย่างโดดเด่นจากทั่วโลก ได้เปรียบในการแข่งขัน และด้วยความสามารถของผู้บริหารยอดเยี่ยมในช่วงเวลามากกว่า 5 ปี
เพื่อที่จะสะท้อนถึงศักยภาพออกมาในมูลค่าหุ้นและเป็นที่รับรู้ของตลาดได้อย่างแท้จริง
ปี 2563 กองทุน Long Term Global Growth เติบโต 95.6%
ซึ่งถ้าถามว่าในอนาคตข้างหน้า เราจะได้เห็นการเติบโตของกลุ่มธุรกิจใดบ้าง
หนึ่งในนั้นก็คงจะเป็นธุรกิจเทคโนโลยีพลังงานสะอาด, ยานยนต์ไฟฟ้า, เทคโนโลยีบล็อกเชน, เฮลธ์แคร์
สอดคล้องกับ 5 ตัวอย่างกองทุนเกาะติด Megatrends ที่กล่าวไปข้างต้น นั่นเอง
มาถึงตรงนี้ สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนใน 5 กองทุนต่างประเทศแนะนำที่พูดถึงนี้
จะได้รับสิทธิพิเศษฟรี! ค่าธรรมเนียมจากการซื้อหน่วยลงทุน (Front-end-fee) แบบไม่มีเพดานใด ๆ ในช่วงเปิดตัวฟีเจอร์ซื้อขายกองทุนรวมต่างประเทศโดยตรงบนแอปพลิเคชัน FinVest
ระหว่างวันนี้ ถึง 15 พฤศจิกายน 2564 เท่านั้น
• ดาวน์โหลดและลงทะเบียนใช้งานแอปพลิเคชัน FinVest App ได้แล้ววันนี้ ที่ https://finvest.onelink.me/CoWV/b25ebb88
• ติดตามความรู้ด้านการลงทุนและเทรนด์เด่น กองทุนที่ไม่ควรพลาดได้ที่ Facebook FinVest และเว็บไซต์ https://bit.ly/3Ev8A2p
• และสามารถลงทะเบียนเพื่อรับ Link เข้าร่วมงานสัมมนาออนไลน์ “ติดปีกการลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ” ที่จัดโดย FinVest ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย วันที่ 5 ตุลาคม 2564 เวลา 19.00-20.20 น. เพื่อรับฟังโอกาสทำกำไรช่วงเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว ได้ที่ https://finvest.onelink.me/CoWV/43b242b3 (ลงทะเบียนได้ถึง 3 ตุลาคม 2564)
คำเตือน
- การลงทุนมิใช่การฝากเงินและมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจไม่ได้รับเงินลงทุนคืนเต็มจำนวนเมื่อไถ่ถอน (ไม่คุ้มครองเงินต้น)
- ผู้ลงทุนต้องศึกษาและทำความเข้าใจลักษณะสินค้า ข้อมูลสำคัญ นโยบายการลงทุน เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนการตัดสินใจลงทุน
- กองทุนที่มีการลงทุนในต่างประเทศมิได้มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมด ทั้งนี้อยู่ในดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ดังนั้นผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจากการลงทุนในกองทุนดังกล่าว หรืออาจได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
Reference
-เอกสารประสัมพันธ์ FinVest
global megatrends 2030 在 資誠(PwC Taiwan) Facebook 的最佳解答
**巴黎氣侯峰會登場/面臨一個歷史性的時刻**
·
全球近200國領袖代表於 #巴黎 參加聯合國氣候變遷綱要公約第21次締約方會議(#COP21),會中將訂定具法律約束力的減碳協議,將全球平均溫度上升的幅度控制在工業化前的2°C以下,同時防範氣候變遷所帶來巨大的負面影響。
·
資誠永續發展服務公司董事長 #朱竹元 指出,自2009年(哥本哈根領袖高峰會議)以來, PwC 低碳經濟指標追蹤G20國家逐步減碳的經濟發展。
·
**#2036年,我們將花完2°C的預算**
·
PwC「2015年低碳經濟指標」(Low Carbon Economy Index 2015)(http://pwc.to/1LlXtIX)報告中預測,按照目前排碳速度計算,到2030年,溫室氣體年排放量將比2014年的水平高出37%、比2000年高出近90%。同時,將在2036年花完2°C預算。
·
**真心想永續經營的企業,也期待地球永續**
·
對企業主而言,根據PwC的氣候變遷CEO調查,政府法規增加(61%)、能源價格提升(56%)、供應鏈中斷(51%) #是CEO面對氣候變遷趨勢最關心的3件事。
·
其中,高達77%的CEO認為一個 #清楚且長期的國家政策架構 才是實質的主要驅動力,希望政府能領導產業因應氣候變化,喚起大眾意識。·
·
·
您也許關心的議題...
◎PwC「2015年低碳經濟指標」 http://pwc.to/1LlXtIX
◎邁向企業永續的綠色競爭力研討會 http://on.fb.me/1Tmel4a
◎邁向企業永續的綠色競爭力會後報導 http://pwc.to/1jsr3S2
◎永續發展與氣候變遷 http://pwc.to/1V8Tw0P
◎全球五大趨勢 Five global megatrends http://pwc.to/1Qlkxef
◎資誠台灣企業領袖調查報告 http://pwc.to/1PReGfe
◎企業永續 DNA - CSR創利 [ 精華版 ] http://pwc.to/1P2JIjG
◎會計師新定位:解決重要問題 http://pwc.to/1GMaq9j
◎【法廣RFI】COP21你需要知道的九件事 http://bit.ly/1XqvVd7
·
●即時掌握專業資訊/立刻下載資誠智識APP》
◎iOS版本 https://appsto.re/tw/Kij45.i
◎Android版本 https://goo.gl/MzcPVe
#巴黎氣候峰會 #地球暖化 #聯合國氣候高峰會 #COP21 #低碳